ทุกๆท่านรู้จัก "ใบสะระแหน่" กันรึเปล่าครับ
สะรแหน่ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการ "สารแน" หรือ "นั่งยางโชว์" นะครับ หากแต่หมายถึง ใบสีเขียวๆมีหยักๆอยู่รอบใบ ละใช้ในการปรุ่งอาหารนั่นแหล่ะครับ
วันก่อนที่ผมรู้สึกปวดหัว ไม่สบายเหมือนตัวเองกำลังจะเป็น "ไข้" มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งแนะนำว่า "ใบสะระแหน่" สามารถช่วย "บรรเทา" ได้ ว่าแล้ววันนี้ผมอยากจะเอาสิ่งๆดีๆจากใบสารแหน่ มาถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึง "คุณประโยชน์" ของใบสะระแหน่ นี้สักเล็กน้อย
ก่อนอื่นเลย เรามาดูกันก่อนนะครับว่า มีที่มาและที่ไปอย่างไร
สะระแหน่ ในอังกฤษจะเรียกว่า Kitchen Mint เป็นพืชสมุนไพรยืนต้น และเป็นพืชในตระกูลมิ้นต์ วงศ์กะเพรา และมีแหล่งกำเนิดมาจาก "แถบยุโรปตอนใต้" และ "แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน" โดยเมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 70 - 150 เซนติเมตร ส่วนใบจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับใบพืชในตระกูลมิ้นต์ มีกลิ่นหอมคล้าย "ใบมะนาว" ซึ่งในทุก ๆ ปลายฤดูร้อนต้นสะระแหน่จะออกดอกสีขาว ๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำหอมและน้ำหวาน อยู่ภายใน นี้ดึงดูดใจให้ผึ้งมาดูดน้ำหวานและจากเหตุนี้ทำให้สะระแหน่อยู่ในสกุลเมลิสซา (Melissa) ซึ่งคำๆนี้ในภาษากรีกแปลว่า "น้ำผึ้ง" และใบสารแหน่ยังมีรสชาติคล้ายคลึงกับ ตะไคร้หอม มะนาว และแอลกอฮอล์
ส่วนในใบสะระแหน่จะประกอบไปด้วย "ยูเจนอล" ที่สามารถทำลายล้าง "แบคทีเรีย" และยังมี "แทนนิน" และ "เทอร์เพนท์" ที่สามารถใช้ในการ "สกัด" เป็นยาเย็นอีกด้วยเช่นกัน
ส่วนการเพาะปลูกใบสารแหน่นั้นก็สามารถทำได้ง่ายๆ คือปลูกใน "ดินร่วนปนทราย" ที่น้ำสามารถไหลผ่านได้สะดวก โดยที่ในหน้าหนาว ควรจะมี "ฟางหรือ"หญ้าคลุมไว้ด้านบน ควรปลูกในที่ที่มีแดด "พอดีๆ" ไม่แรงจัดหรืออ่อนจนเกินไป และจะดีที่สุดหากปลูกในที่ "แห้ง" และ "ความชื้นต่ำ"
ประโยชน์อย่างแรกที่เห็นได้ชัดเลยสำหรับใบสารแหน่คือ "การทำครัว"
รู้หรือไม่ครับว่าใบสะระแหน่ มักจะถูกนำมาเป็น "ส่วนผสม" หนึ่งในการทำ "ไอศครีม" หรือไปถึง "ชาและกาแฟ" ด้วยเช่นกัน แถมยังสมารถทำได้แบบทั้ง "ร้อนและเย็น" เลยด้วย และมักจะมีการผสม ใบสารแหน่ใน "อาหารสมุนไหร" ชนิดอื่นๆ รวมไปถึง สามารถนำไปเป็น "เครื่องเคียง" หลายๆจำพวก เพื่อเพิ่ม "ประโชยน์" และ "ความสวยงาม" ได้อีกต่างหาก
แต่หากจะบ่งบอกถึง คุณประโยชน์ทาง "โภชนาการ" หรือ "สรรพคุณทางยา" แล้วล่ะก็ ใบสะระแหน่ถือว่ามีประโยชน์มากๆเลยล่ะครับ ยกตัวอย่างเช่น
1 : ใบสะระแหน่สามารถนำมาบดแล้วทาลงบน "แผลสด" เพื่อ "บรรเทา" อาการเจ็บปวดได้เหมือนกันครับ เนื่องด้วยอย่างที่บอกว่า ใบสะระแหน่มี "ยูเจนอล" ที่สามารถทำลายแบคทีเรียต่างๆได้ผสมอยู่ เพราะแบบนี้การนำมาบดให้ละเอียดแล้วทาลงบนที่ที่เป็นแผลก็สามารถ "ฆ่า" แบทีเรียได้ดีเยี่ยมที่เดียว เช่นกัน หากเรานำใบสะระแหน่มาบดแล้วทาลงบน "ผิวหนัง" ก็สามารถทำให้ผิว "ชุ่มชื้น" มีน้ำมีนวลเหมือนกัน
2 : ใบสะระแหน่สามารถกันยุงได้เป็นอย่างดีนะครับ หากทำเหมือนขั้นตอนแรกคือ นำมาบดแล้วทาให้ทั่วๆร่างกาย เราก็สามารถกันยุงได้แล้วครับ
3 : สะระแหน่ เมื่อรับประทานเข้าไป สามารถแก้อาการ "ปวดท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ" ได้เป็นอย่างดี เพราะสะระแหน่จะไปช่วย ขับลมใน กระเพาะอาหารออกมา ซึ่งแน่นอน หากจะให้ได้ผลยิ่งขึ้นควรจะคั้นใบสะระแหน่ให้ไปน้ำแล้วรับประทานเข้าไป จะได้ผลดียิ่งขึ้น
4 : การทานใบสะระแหน่เป็นประจำ จะช่วยทำให้สมอง "ปรอดโปร่ง" และช่วยลด "ความเครียด" ได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยๆๆก็มี "งานวิจีย" อยู่หนึ่งงานที่ระบุชักเจนว่า ใบสะระแหน่ช่วยคลายความ "กดดันของกล้ามเนื้อ" อันมีที่มาจากความเหนื่อยล้า และ ความเครียดได้
5 : สะระแหน่ยังถูกนำไปสกัดเป็น "น้ำมันหอมระเหย" เพื่อใช้ในการทำ "สุคนธบำบัด" หรือที่เรียกง่ายๆว่า "การบำบัดโดยการใช้กลิ่น" จากพวกน้ำมันหอมระเหยจำพวกนี้ล่ะครับ หลักการสำคัญคืิอ เมื่อร่างกายได้รับ "กลิ่นหอม" ของสารหอมระเหยพวกนี้แล้วจะส่งผลดีต่อ "ระบบการทำงานในร่างกาย" ที่คอบควบคุม "ระบบประสาท" และ "ระบบฮอร์โมน"
6 : สะระแหน่ สามารถรักษาโรคเกี่ยวกับ "ต่อมไทรอยด์" แก้ไข้หวัด ทำให้โล่งคอและสมองปรอดโปร่ง บำรุงสายตา และช่วยทำให้ "หัวใจแข็งแรง" อีกด้วย
ลืมบอกไปนะครับ ในใบสะระแหน่จะมีเบต้า-แคโรทีน มากถึง 538.35RE แคลเซียม 40 กรัม วิตามินซีถึง 88 มิลลิกรัม เมื่อทาน 100 กรัม ซึ่งทุกๆตัวล้วนเป็นผลดีต่อร่างกาย และช่วยขับไล่ "อณุมูลอิสระ" ออกจากร่างกายอีกด้วย
ได้รู้อย่างนี้แล้วต้องบอกจริงๆครับว่า ใบสะระแหน่นั้นมีคุณประโยชน์มากมายเหลือเกิน และผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่จะพยายามหา ใบสะระแหน่มาติดบ้านไว้เสมอๆ
ตัวส่วนตัวผมเชื่อเหลือเกินว่าก่อนหน้านี้ หลายๆคนคงไม่เคยคิดว่า ใบสะระแหน่ จะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้
เพราะบางคน ใบสะระแหน่ เขายังสะกดผิดเป็น "ใบสาระแหน่" อยู่เลยครับ
หากได้รู้ถึงประโยชน์ของใบสะระแหน่จากบทความของผมแล้ว ควรจะมีมันเอาไว้ติดบ้านนะครับ เพราะ ใบสะระแหน่ก็ถือเป็นยา "อายุวัฒนะ" ได้เช่นกัน
Pattrick P. King
อ้างอิง : จาก kapook.com
จาก wikipedia

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น